
What is Phonics?
ด้วยความมั่นใจซึ่งในปัจจุบันนี้ กว่า 90% ของโรงเรียนในประเทศอังกฤษ และประเทศต่างๆที่ใช้ภาษาอังกฤษทั่วโลก ได้นำระบบ Phonics มาใช้เป็นแนวทางหลักในการสอนการอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กวัยเรียนการสอนระบบ Phonics (โฟนิคส์) คือการสอนความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษร และนำหลักการถอดรหัสคำมาใช้ เพื่อการอ่าน เขียน สะกดคำต่างๆในภาษาอังกฤษอย่างเป็นระบบ ตามลำดับขั้นตอน เพื่อให้สามารถอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน
เนื่องจากมีผลการศึกษาวิจัยมากมาย จากหลายประเทศสรุปว่าการเรียนการสอนในระบบPhonicsนี้เป็นวิธีที่ช่วยปูพื้นฐานด้านการอ่านเขียนที่มีประสิทธิภาพสูงในระยะยาวสำหรับการพัฒนาด้านการอ่านเขียนขั้นสูงต่อไปในอนาคต จึงได้นำระบบการสอนแบบโฟนิคส์นี้ มาใช้เพื่อพัฒนาทักษะสำคัญด้านการอ่าน เขียน ออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกวิธีเพื่อเด็กๆ ยุคใหม่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ เรามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นเด็กไทยรักการอ่าน เห็นคุณค่าของการเรียนรู้และสามารถนำทักษะทางการอ่านเขียนภาษาอังกฤษนี้ไปพัฒนาตนเองในด้านต่างๆต่อไปในอนาคต
Why Phonics?
ปัจจุบันการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยนั้นยังคงใช้ระบบท่องจำคำศัพท์ เช่นเดียวกับวิธีการที่เราเคยเรียนมาในอดีตซึ่งหากครูผู้สอนขาดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องย่อมทำให้ผู้เรียนจำวิธีการออกเสียงไปใช้อย่างคลาดเคลื่อน ประสบปัญหาในการสื่อสาร ซึ่งบ่อยครั้งที่เราเองยังรู้สึกว่าพูดไปอย่างไร ผู้ฟังซึ่งเป็นเจ้าของภาษาก็ไม่สามารถเข้าใจคำพูดที่เราต้องการสื่อสารได้
ระบบ Phonics สอนให้เด็กรู้จักเสียงที่ถูกต้องของตัวอักษรไม่ได้ให้อ่านตามชื่อตัวอักษรเท่านั้น ในระบบปกติเด็กๆ จะถูกสอนให้อ่านA=เอ, B=บี , C=ซี แต่เมื่อเรียนตามระบบ Phonics จะอ่านออกเสียง A=แอะ,B=เบอะ, C=เคอะ ดังนั้นเวลาผสมคำว่า CAT จะต้องสะกด “เคอะ-แอะ-เทอะ=แคท” ไม่ใช่ “ซี-เอ-ที=แคท” ซึ่งทำให้เด็กสามารถอ่านหรือสะกดคำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการท่องจำคำศัพท์ (เช่น “ซี-เอ-ที-แคท-แปลว่าแมว”) แต่เป็นการอ่าน จากความเข้าใจในระบบการออกเสียงที่ถูกต้องตามหลักPhonics เราเคยสังเกตหรือไม่ว่า ตัวอักษร C ออกเสียงอย่างไร ในเวลาใช้ตัว Cในการผสมคำต่างๆ เช่น CAT, COOK, CUP หากออกเสียงตามชื่อเรียกตัวอักษร”ซี” เราจะไม่สามารถออกเสียงเป็นคำว่า “แคท” ได้เลย (น่าจะเป็นเสียง “แซด”เสียมากกว่า) ฉะนั้นตามที่เราเรียนมาแบบดั้งเดิมจึงเป็นเพียงการสอนให้จำเสียงของคำที่เราได้ยินจากการเรียกชื่อตัวอักษรเท่านั้นและนั่นหมายความว่าเราไม่เคยรู้จักเสียงที่แท้จริงของตัวอักษรหรือสามารถออกเสียงที่ถูกต้องของตัวอักษรนั้นๆ เลย
การถอดรหัสเสียงในระบบPhonicsจะช่วยสร้างความเข้าใจในการออกเสียงหรือผสมคำในภาษาอังกฤษซึ่งจะทำให้เด็กรู้จักตัวอักษรและคำศัพท์โดยไม่ต้องอาศัยการท่องจำ แม้แต่คำที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อนได้อย่างถูกต้อง ชัดเจนเช่นเดียวกับเจ้าของภาษา ขณะที่เด็กที่ผ่านการเรียนแบบท่องจำมาตลอดจะรู้จักเฉพาะคำศัพท์ที่ท่องมาเท่านั้น
ที่สำคัญระบบการเรียนแบบโฟนิกส์นั้นมีความสัมพันธ์กับการเรียนภาษาอังกฤษในทุกๆ ทักษะ ไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน หรือสะกดคำจะเห็นได้ว่าเมื่อเด็กสามารถแยกแยะหน่วยเสียงได้และจะทำให้ฟังได้ง่ายขึ้นเมื่อฟังเจ้าของภาษาพูดหรือสนทนา (Listening) และเมื่อเข้าใจที่พูดก็จะสามารถโต้ตอบได้(Speaking) เมื่อพบคำใหม่ก็ใช้จะหลักแยกแยะหน่วยเสียงอ่านได้ (Reading) ซึ่งเมื่อสามารถอ่านได้ก็จะสามารถเขียนคำตามที่อ่านได้ (Spelling และ Writing) นั่นเอง
สิ่งสำคัญของการเรียนระบบ Phonics แท้จริงแล้วไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การออกเสียงเท่านั้นแต่ยังสร้างความสามารถในด้านการผสมเสียงและสะกดคำเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสู่ทักษะการอ่านจับใจขั้นสูงและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เด็กที่เรียนในระบบนี้รักการอ่านและการเขียน ซึ่งนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเปิดโลกใบนี้ให้กว้างขึ้นโดยไม่ถูกจำกัดขอบเขตของการเรียนรู้อยู่ที่แหล่งความรู้ที่เป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียว
นอกจากนั้นยังมีผลสรุปงานวิจัยด้านการเรียนรู้ทางด้านสมอง (Brain-based learning /Neuron-scientific research) ของมหาวิทยาลัยเยลที่ได้ทำการสแกนสมองของผู้เรียนภาษาอังกฤษด้วยวิธีการแบบโฟนิกส์กับวิธีการสอนแบบดั้งเดิมสรุปไว้ว่าวิธีการสอนแบบโฟนิกส์นั้นช่วยกระตุ้นเซลล์สมองทำให้มีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ และทั้งทำให้เส้นใยสมองเดิมแตกตัวและเบ่งบานอย่างถาวร ซึ่งมีผลทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนภาษาอังกฤษสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการสอนด้วยวิธีอื่นๆ